Unseen-9 (ทัตซี)
-หกทุ่ม-
ภูวดลยืนนิ่งงันหลังจากเปิดประตูห้องออกมาตามเสียงเคาะเรียก เขาที่กำลังจะนอนข้องใจว่าคน ๆ นี้มายืนหอบหมอนหอบผ้าห่มอะไรอยู่หน้าห้องเขา
“ซี ห้องนั้นแอร์เสีย พี่ร้อน”
เสียงทุ้มงัวเงียยกมือเกาหัวคล้ายคนถูกปลุกออกมากลางครัน
“อ๋อ งั้นเดี๋ยวผมยกพัดลมเข้าไปให้ครับ”
ร่างกายสูงใหญ่เดินแทรกตัวเข้ามาภายในห้องนอนของเขาแล้วเรียบร้อย
“ไม่เอา พี่นอนพัดลมไม่เป็นนะ ร้อนนนน” เขาว่าหน้ายู่แล้วโยนไอ้พวกหมอนผ้าห่มที่อุ้มมาด้วยลงบนเตียงจากนั้นกระโดดขึ้นไปนอนคว่ำหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น
“พี่ทัตจะนอนที่นี่เหรอครับ”
“อือฮึ ไม่กวนซีหรอกใช่ไหม” เขาพลิกตัวขึ้นมานอนหงาย
“ร้อน ถอดเสื้อนะ”
เขาไม่รอว่าอีกคนจะอนุญาตหรือไม่ หากแต่ลุกขึ้นนั่งแล้วถอดเสื้อยืดที่สวมอยู่ออกทางศีรษะทันที
“โหย เหงื่อออกเต็มเลยนี่ดูสิ
ผิวพี่แดงไปหมดแล้ว ผื่นขึ้นรึเปล่าไม่รู้” เขาเป็นผู้ชายที่ผิวพรรณดีไม่เคยเปลี่ยนเลยจริง
ๆ สมแล้วที่ชอบกินมะเขือเทศ พอร้อนเข้าหน่อยผิวแดงเห่อเป็นทางเลย ภูวดลเดินไปกดเร่งแอร์ให้เย็นขึ้นอีกนิด เขาท่าจะเป็นคนขี้ร้อนมากจริง ๆ
“สร้อยมันขูดผิวน่ะ ถลอกไหมซีมาดูหลังคอให้หน่อยสิ
มันแสบ ๆ”
ภูวดลจำใจเดินไปดูที่ต้นคอด้านหลังให้ เห็นแค่เป็นรอยแดง ๆ
จึงบอกเขาว่าไม่เป็นอะไรมาก สร้อยทองคำขาวเส้นเล็ก ๆ ที่เขาสวมใส่อยู่เสมอมีแหวนวงหนึ่งห้อยไว้แทนจี้
สะกิดใจภูวดลนิดหน่อย
“งั้นพี่ทัตนอนนี่นะครับ
เดี๋ยวผมออกไปนอนที่ห้องนั้นเอง”
“เฮ้ย! ไม่เอา” ทัตพลที่เพิ่งเอนตัวนอนลงดีดตัวขึ้นทันที
เขาเอื้อมไปคว้าแขนภูวดลไว้ เพราะอีกคนกำลังก้มลงหยิบเอาหมอนและผ้าห่มของตัวเอง
“นอนนี่แหละ นอนด้วยกัน....ไม่ได้เหรอ” เขาเงยหน้าถามส่งเสียงคล้ายเด็กกำลังอ้อนขอกินนม
“ผ...ผมไม่เคยนอนกับคนอื่นน่ะครับ
เคยนอนแต่กับทราย”
“ก็คิดเสียว่าพี่เป็นทรายก็ได้นี่
นอนลงเถอะ มาเร็ว” เขาดึงหมอนที่ภูวดลอุ้มอยู่วางลงที่เดิมทั้งผ้าห่มก็ถูกเขากระชากกลับลงมา
ตบๆลงบนที่นอนเรียกให้อีกคนรีบนอนลงมาได้แล้ว
ภูวดลมองหน้าเขาแล้วคิด ‘พูดง่ายดิ่ ให้คิดว่าเขาเป็นวาริน ขนาดตัวคนล่ะไซด์เลย จะให้เขานอนกอดยังไง
เสี่ยงจะถูกเจ้าลุงนี่กอดล่ะสิไม่ว่า’
“คิดไรอยู่เนี่ย นอนเหอะ”
“ครับๆ”
เขาตอบรับแล้วล้มตัวลงนอนอีกฝั่งหนึ่งของเตียงอย่างเสียไม่ได้ หลับตาลงได้แค่ไม่ถึงสองนาที
“หลับหรือยัง ทำไมไม่ยอมห่มผ้า”
ดวงตาสีนำ้ตาลเข้มลืมขึ้นขณะอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้
ยกผ้าห่มคลุมให้ชิดอก แววตาอ่อนโยนเจือความรู้สึกห่วงใยถักทออยู่เต็มนัยน์ตาคู่นั้นขณะมองทอดลงมาที่คนด้านล่าง
“ยังไม่หลับครับ พี่ทัตทำไมยังไม่นอน”
ภูวดลทำไมถึงได้กลิ่นหวานละเมียดคล้ายกลิ่นวานิลาเจือจางลอยออกมาจากตัวของเขา
ยิ่งเขาโน้มตัวเข้าใกล้ยิ่งขึ้นกลิ่นหอมหวานจากเขาทำเอาภูวดลรู้สึกดีแปลก ๆ
“ตัวคุณทำไมมีกลิ่นหอมอยู่ตลอดเลย
กระทั่งเวลาแบบนี้”
ทัตพลมองหน้าภูวดลนิ่ง
เขาเลื่อนตัวขยับเข้ามาจนแขนชิดกัน
“ทำไมเหรอ เวลาแบบนี้แหละถึงต้องหอม”
“พี่ทัตนี่แปลกคนจริง ๆ นะครับ”
“ยังไง”
ภูวดลเลือกที่จะไม่พูดต่อ
เขาหลับตาลงแล้วส่ายหน้าเบา ๆ บอกให้รู้ว่าไม่อยากพูดต่อแล้ว
แต่ทัตพลกลับไม่คิดแบบนั้น
“อยากรู้ไหม
กลิ่นหอมของพี่ออกมาจากตรงไหน”
เขาเลื่อนตัวเข้ามากระซิบ
ภูวดลลืมตาขึ้นมองทันที มือของทั้งคู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาแตะสัมผัสกัน
เป็นทัตพลที่ไล้นิ้วมือเรียวเล่นทีละนิ้ว ๆ เหมือนอยากให้อีกฝ่ายรู้คำตอบ
“ตรงนี้ไง”
“หืม?” ภูวดลทำหน้าสงสัย เขาว่ากลิ่นหอมของเขาออกมาจากนิ้วมือน่ะหรือ??
“ลองจับดูสิ จับขึ้นมาดูเลยก็ได้”
ภูวดลที่ถูกเขาไล้ปลายนิ้วเล่นอยู่ไม่รอช้า
ขยับมือเข้าสัมผัสนิ้วเรียวหนากลับบ้างเหมือนกัน
เขายกมือทัตพลขึ้นมาในระดับสายตาท่ามกลางความมืด แต่ยังสามารถมองเห็นได้
“มือพี่ทัตใหญ่จังนะครับ”
“เพราะมือซีเล็กต่างหากล่ะครับ”
เขาทาบปลายนิ้วเพื่อวัดขนาดฝ่ามือของกันและกัน
ขณะที่ภูวดลกำลังคิดว่ามือวารินเล็กกว่ามือของเขาอีกเพราะงั้นคงจะเล็กมากๆถ้าเทียบกับมือของผู้ชายคนนี้
“ทำแบบนี้”
“ครับ?”
เขาว่าพร้อมทาบสอดทั้งห้านิ้วลงกับนิ้วเรียวที่กางรอไว้อยู่แล้ว
สองคนหันมาสบสายตากันนิ่ง บรรยากาศรอบข้างเงียบกริบ ทัตพลดึงมือบางที่สอดประสานไว้นั้นมาแนบไว้ที่อก
นึกไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาตลอดทั้งวันตั้งแต่เขาไปที่บ้านของภัครจิรา
จนกระทั่งกลับมาสารภาพเรื่องราวทุกอย่างกับภูวดล
“ขอบใจนะซี ขอบใจที่ซีไม่ทิ้งพี่ไป
ขอบใจที่ยังมีเราอยู่ข้าง ๆ กัน”
“ผมเองก็ดีใจนะครับ ที่คุณเลือกที่จะไม่ปิดบัง
เลือกบอกความจริงทุกอย่างกับผม นั่นแสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนกล้าหาญแล้วก็จริงใจ”
“จริงใจสิครับ
ถ้าไม่จริงใจไม่ยอมให้ชกฟรี ๆ หรอกนะ”
ทัตพลพลิกตัวนอนตะแคง
มองใบหน้าด้านข้างของอีกคนชัด ๆ เรียวนิ้วหนาไล้ไปตามสันจมูกโด่ง
ภูวดลจมูกสวยมากจริง ๆ
“ทำไมพี่ไม่รู้จักเราให้เร็วกว่านี้นะ”
เขาพึมพำ ไม่รู้ว่าภูวดลได้ยินหรือไม่
“นอนเถอะครับ ดึกแล้ว”
“ก็แล้วใครกันล่ะพูดเรื่องกลิ่นหอมอะไรนั่นขึ้นมา
ว่าแต่...มันยังหอมอยู่ไหมอ่ะ”
“ก็หอมนะครับ
คุณใช้น้ำหอมตอนนอนด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่น้ำหอมหรอก น้ำแร่น่ะ สเปรย์น้ำแร่”
“อ๋อ
ไอ้ขวดใสๆที่วางอยู่ในตู้เย็นน่ะเหรอครับ”
“ฉีดที่ตรงนี้”
เขาว่าแล้วจับมือภูวดลขึ้นมาสัมผัสที่ลำคอของเขา
ภูวดลหน้าร้อนขึ้นมา รีบชักมือกลับ
“แถว ๆ
ลำคอจะมีจุดชีพจรที่ไวต่อความรู้สึกอยู่
เพราะอย่างนั้นเวลาที่เราใช้สเปรย์น้ำแร่เขาจึงให้ฉีดลงที่ฝ่ามือตบ ๆ
ให้น้ำมันฟุ้งแล้วใช้สองมือแปะๆเข้าที่แถวๆลำคอนี่แหละ”
“รู้ดีเรื่องแบบนี้จริง ๆ นะครับ”
“หอมนะ ลองดมดูสิ” เขาไม่พูดเปล่า
ยืดลำคอขึ้นจนเห็นรอยนูนของลูกกระเดือกแสดงความเป็นชาย รอให้คนข้าง ๆ
เข้ามาพิสูจน์กลิ่นหอม
“ไม่เอาหรอกครับ คุณนอนเถอะ”
ว่าจบแล้วภูวดลก็หลับตาลงทันที
ไม่รู้ทัตพลพูดเรื่องอะไรจะให้ไปดมกลิ่นหอมที่ซอกคอเขาเนี่ยนะ
มันแปลกไม่ใช่หรือไง?
“ซี”
ทัตพลเรียกขึ้น
ภูวดลคิ้วขมวดทันที ‘นี่เขาจะไม่ยอมหลับนอนเลยจริงๆ’
“พี่ว่า..พี่ก็ได้กลิ่นหอมของซีเหมือนกันนะ”
“ห๊ะ? อะไรนะครับ ผมไม่ได้ใช้สเปรย์อะไรนั่นเลยนะ”
“จริงอ่ะ?”
คราวนี้เขาพลิกตัวเข้ามาหาแล้วทำท่าสูดดมกลิ่นหอมจากร่างกายภูวดลเต็มที่
“จริงนะ มันเป็นกลิ่นเหมือนคาลาเมลเลย
หอมแบบหวาน ๆ”
“ไม่มีหรอกครับ
กลิ่นหอมแบบนั้นจะมาจากไหนกัน”
“ตรงนี้ล่ะมั้ง ไหนดมดูซิ”
เขาว่าแล้วแนบจมูกลงชิดลำคอบาง พิสูจน์ความหอมว่ามาจากตรงจุดนี้จริงไหม
“พี่ทัต!” ภูวดลตกใจรีบผลักตัวเขาออกห่างทันที
“ขอโทษ ตกใจเหรอ”
“นอนได้แล้วครับ
มัวแต่คุยอยู่แบบนี้เมื่อไหร่จะได้นอนกันสักที”
เขาว่าแล้วหยิบหมอนข้างเข้ามาวางกั้นแบ่งพื้นที่ไว้
ทัตพลปรายสายตามองกิริยาแบบนั้นแล้วอมยิ้มออกมา
เอื้อมมือเข้าไปจับหมอนข้างเหวี่ยงลงที่ข้างเตียงแล้วพลิกตัวขยับกายเข้าสวมกอดอีกคนไว้ทันที
ภูวดลกำลังจะอ้าปากโวยวายและทำท่าจะลุกขึ้นแต่ก็โดนลำแขนแกร่งของเขาทาบทับลงมาที่หน้าอกจนจะลุกก็ลุกไม่ได้
พอจะอ้าปากด่าก็เจอเขาเบรกเข้าให้เสียอีก
“ชู่ว์ ไหนว่าจะนอนไงครับ
มัวแต่โวยวายแบบนี้จะได้นอนกันตอนไหนเนี่ย”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดอยู่ที่ซอกคอของเขา
ทัตพลลืมตาขึ้นในความมืดมองคนที่ตัวเองนอนกอดเอาไว้หลับตานิ่งไปแล้ว
มือใหญ่สอดลงที่เส้นผมนิ่มอย่างเอ็นดู
ก่อนตัดสินใจจรดริมฝีปากจูบลงที่หัวไหล่ขาวเนียนแผ่วเบาไม่ต่างจากสัมผัสของขนนก
*************************************************
Unseen
>>> Tbc.